5 เทรนด์ท่องเที่ยวปี 2026 ที่นักเดินทางเลือก

5 เทรนด์ท่องเที่ยวปี 2026 ที่นักเดินทางเลือก

วันนี้การท่องเที่ยวไม่ได้หยุดแค่คำถามว่าจะไปที่ไหนดี ? แต่กำลังเปลี่ยนเป็นเราเดินทางไปเพื่ออะไร ?บทความนี้จะพาไปถอดรหัส Travel Trends 2026 จากความร่วมมือของ Trip.com Group และ Google ที่สรุปออกมาเป็น 5 เทรนด์การท่องเที่ยวสำคัญ ซึ่งสะท้อนว่าการเดินทางในอนาคตคือการค้นหาประสบการณ์และความหมายที่ลึกซึ้งกว่าที่เคย

Travel as Expression การเดินทางคือการแสดงตัวตน

การท่องเที่ยวในยุคโซเชียลไม่ใช่แค่การไปพักผ่อน แต่คือการเล่าเรื่องตัวเองผ่านประสบการณ์ ไลฟ์สไตล์ และภาพจำแบบ Main Character โดยโซเชียลมีเดียกลายเป็นทั้งแรงบันดาลใจและช่องทางจองทริปโดยตรง โดยเฉพาะในเอเชียที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากดูไลฟ์ท่องเที่ยวและตัดสินใจจองทันที

เทรนด์นี้ยังผลักดัน Fork-First Travel ที่อาหารกลายเป็นจุดหมายหลักของทริป และ Skillvenirs หรือของที่ระลึกในรูปแบบประสบการณ์ เช่น คลาสทำอาหารหรือเวิร์กช็อปท้องถิ่น เพราะนักเดินทางยุคใหม่อยากได้เรื่องราวและทักษะกลับบ้านมากกว่าสิ่งของทั่วไป

Travel with Purpose เดินทางเพื่อความหมายมากกว่าปลายทาง

นักเดินทางยุคใหม่ไม่ได้อยากแค่เช็กอินแลนด์มาร์ก แต่ต้องการประสบการณ์ที่มีคุณค่าทางใจและเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมอย่างแท้จริง สะท้อนจากข้อมูล Google ที่พบว่าการค้นหาพิธีชงชาญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นกว่า 53% แสดงให้เห็นความสนใจในพิธีกรรมและมรดกทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง

เทรนด์นี้สอดคล้องกับ Slow Travel ที่เน้นการดื่มด่ำ ไม่เร่งรีบ และให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากกว่าจำนวนกิจกรรม รวมถึง Value-Driven Travel ที่นักท่องเที่ยวเลือกจุดหมายและผู้ให้บริการที่สอดคล้องกับคุณค่าของตัวเอง เช่น ความยั่งยืน การดูแลสิ่งแวดล้อม และการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น

Travel to Heal เดินทางเพื่อฟื้นฟูร่างกายและใจ

Wellness Tourism ในปี 2026 ไม่ได้หยุดแค่สปาหรือการพักผ่อนเฉย ๆ แต่คือการผสานกิจกรรมที่ท้าทาย เข้ากับการดูแลสุขภาพอย่างลงตัว สะท้อนจากการค้นหาอย่างกอล์ฟ + รีสอร์ทสปาที่เพิ่มขึ้นกว่า 300% และสกี + สปาที่เพิ่มขึ้น 250%

เทรนด์นี้ต่อยอดไปสู่รูปแบบใหม่ ๆ เช่น Sleep Tourism ที่เน้นการนอนหลับคุณภาพสูงด้วยเทคโนโลยีช่วยพักผ่อน, Silent Travel สำหรับคนอยากหลีกหนีความวุ่นวาย และ Glow-cations ทริปดูแลผิวและสุขภาพแบบจริงจัง ที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ซึ่งอยากกลับมาพร้อมพลังที่ดีขึ้นกว่าเดิม

Travel to Connect เดินทางเพื่อเชื่อมโยงผู้คน

การท่องเที่ยวยุคใหม่ไม่ใช่แค่ไปคนเดียว แต่คือการแชร์ประสบการณ์ร่วมกับเพื่อน ครอบครัว และคอมมูนิตี้ที่มีความสนใจเดียวกัน โดยมี 2 ตัวขับเคลื่อนหลักคือ ดนตรี และ กีฬา

เทรนด์แรกคือ Gig-Tripping การเดินทางเพื่ออีเวนต์โดยเฉพาะ ซึ่งนักท่องเที่ยวกว่า 2 ใน 3 ยอมบินข้ามประเทศเพื่อดูคอนเสิร์ตศิลปินที่รัก ส่วนอีกด้านคือ Endurance Tourism การท่องเที่ยวเพื่อร่วมแข่งขันกีฬาอย่างมาราธอน ปั่นจักรยาน หรือ Hyrox ที่เติบโตเร็วถึง 5 เท่า สะท้อนชัดว่าผู้คนยอมเดินทางไกล ไม่ใช่แค่เพื่อเที่ยว แต่เพื่อเชื่อมต่อกับสิ่งที่ตัวเองหลงใหลจริง ๆ

Travel of Tomorrow การเดินทางแห่งอนาคตด้วยพลัง AI

เบื้องหลังทริปที่วางแผนได้ตรงใจและเฉพาะตัวมากขึ้นในวันนี้คือบทบาทของ AI ที่กลายเป็นเครื่องมือพื้นฐานของนักเดินทางยุคใหม่ โดยยอดค้นหาช่วยวางแผนการเดินทางเพิ่มขึ้นถึง 190% ภายในปีเดียว สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน

แหล่งที่มา : everydaymarketing.co