กินของหวานแบบพุงไม่ป่อง อร่อยได้ไม่ต้องรู้สึกผิด

ปัญหาโลกแตกของสายหวาน ใครที่ติดของหวานเป็นชีวิตจิตใจ ต้องกินทุกมื้อแบบ “กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่” แต่พอกินไปกินมาน้ำหนักดันพุ่งไม่หยุด ถ้ากินแล้วไม่กระทบหุ่นก็ดีไป แต่ถ้ามันเริ่มทำให้หมดความมั่นใจ ต้องรีบปรับตัวด่วน วันนี้เราจึงมี 7 ทริคกินของหวานแบบไม่อ้วน มาฝากกัน ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลย

กินพอหายอยาก อย่ากินเพลิน

แทนที่จะกินแบบจัดเต็ม ลองเปลี่ยนเป็น “ชิมพอให้รู้รส” แล้วพอ กินแค่นิดเดียวให้พอหายอยาก เช่น ถ้าปกติกินเค้ก 2 ชิ้นจนแน่น ก็ลดเหลือแค่ครึ่งชิ้นหรือน้อยกว่านั้น พอได้รสชาติแล้วให้เก็บเข้าตู้เย็นทันที เพราะถ้ายังวางไว้ใกล้ตัว มีหวังเผลอหยิบกินต่อแน่นอน

เลือกสูตรหวานน้อย ลดน้ำตาลแต่ยังอร่อย

ปัจจุบันมีขนมหวานหลายเจ้าที่เริ่มทำสูตรหวานน้อย หรือใช้หญ้าหวานแทนน้ำตาล ซึ่งช่วยลดพลังงานส่วนเกินและดีต่อสุขภาพมากขึ้น แม้ว่ารสชาติอาจต่างจากสูตรดั้งเดิม แต่หลายร้านก็พัฒนาให้ความอร่อยใกล้เคียงเดิม เพื่อให้ลูกค้ายังรู้สึกอร่อยแม้จะลดน้ำตาลไปก็ตาม

ทานหลังมื้ออาหาร

การทานของหวานหลังมื้ออาหารไม่ใช่เพื่อขัดขวางการกิน แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นจากการทานของหวานตอนท้องว่าง ซึ่งจะทำให้ร่างกายผลิตอินซูลินเพื่อเก็บคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ได้ใช้เป็นพลังงานกลายเป็นไขมันแทน ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการทานของหวานตอนท้องว่างจะดีกว่านะ

ลดแคลอรีลงด้วยตัวเอง

ไม่ต้องเครียดกับการนับแคลอรีแบบเป๊ะ ๆ ก็ได้ เพียงแค่รู้คร่าว ๆ และปรับลดในบางจุดก็ช่วยได้ เช่น ถ้าเค้กชิ้นหนึ่งมี 305 กิโลแคลอรี ลองเอาครีมออกไปบ้าง แคลอรีอาจลดลงได้ 100-160 กิโลแคลอรี่ ซึ่งทำให้เราทานของหวานได้แบบไม่ต้องห่วงเรื่องพลังงานส่วนเกิน

ทานในเวลาที่เหมาะสม

การทานของหวานในเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือหลังมื้ออาหารประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งในช่วงเวลานี้ระดับน้ำตาลในเลือดจะคงที่ การทานของหวานเข้าไปก็จะไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงเกินไป ช่วงเวลานี้คือระหว่างบ่าย 2 โมงถึงบ่าย 4 โมง

หันมาทานผลไม้แทน

ของหวานที่ทำจากน้ำตาลขัดสีและมีไขมันจากเนยหรือน้ำมันมักให้พลังงานสูงมาก และทำให้น้ำหนักขึ้นง่าย ๆ เลย แต่อย่างไรก็ตาม ผลไม้ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะผลไม้บางชนิดก็หวานพอสมควร แต่ถ้ากินในปริมาณที่พอเหมาะก็สามารถช่วยให้หายอยากของหวานได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักมากนัก

ทานแล้วต้องเบิร์นออก

การกินของหวานแล้วไม่ขยับร่างกายก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำหนักขึ้นได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่เราต้องอยู่บ้านมากขึ้นเพราะโรคระบาด การเบิร์นพลังงานจากการเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายจึงสำคัญมากขึ้น

แหล่งที่มา : sistacafe.com